วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


                  10. ฮาลองเบย์ (ประเทศเวียดนาม)

                             


      สำหรับอ่าวฮาลอง หรือ ฮาลองเบย์ นั้นได้ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นเสมือนประกาศนียบัตรที่ใครเห็นต่างเชื่อถือ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเวียดนาม ต้องล่องเรือมาชมอ่าวฮาลองเพื่อสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ


ขอขอบคุณhttp://www.lib.ru.ac.th/
   
               9. พระราชวังหลวงพระบาง (ประเทศลาว)

                               


       พระราชวังหลวงพระบาง หลังนี้เป็นอาคารเก่า ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ลักษณะอาคารเป็นอาคารชั้นเดี่ยวยกพื้นสูง สถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส แต่เป็นการผสมผสานระหว่างฝรั่งเศสและลาว ด้านนอกอาคารเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ เป็นระยะเวลานนาน จนสิ้นพระชนม์ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2518 พระราชวังหลวงพระบาง ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ 



ขอขอบคุณhttp://www.lib.ru.ac.th/



                  8. ปราสาทนครวัด (ประเทศกัมพูชา)

                              


      ดินแดนกัมพูชาหรืออาณจักรขอมโบราณนั้นได้รับอิทธิพลทางศาสนาและวัฒนธรรมจากอินเดียเต็มตัวโดยเฉพาะความเชื่อตามคติในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลก่อนพุทธศาสนาเนิ่นนานนักศาสนานี้ยกย่องกษัตริย์เสมอดั่งเทพเจ้าเรียกว่า “ ลัทธิเทวราชา ” นั่นหมายถึงว่า กษัตริย์คือตัวแทนของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์และวิธีการยกย่องก็กระทำโดยการสร้างเทวสถานหรือเทวาลัยถวายให้ พระราชภารกิจของกษัตริย์ขอมทุกพระองค์ ที่จะต้องสร้างปราสาทหินเป็นเทวสถานแด่บรรพบุรุษหรือถวายแด่พระองค์เอง ฉะนั้นคำว่า “ ปราสาท ” ในที่นี้จึงมิได้หมายถึงปราสาทราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ แต่ปราสาทคือศาสนสถานอันถือเป็นที่ประทับของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมก็จะต้องเป็นแบบ “ ศาสนสถานบนฐานที่เป็นชั้น ” และขุดสระหรือคูน้ำที่เขมรเรียกว่า“บาราย” ล้อมรอบมีลวดลายสลักหินเป็นรูปพญานาคซึ่งเป็นสัญลักษณ์น้ำและความอุดมสมบูรณ์ เปรียบเทียบได้กับเขาพระสุเมรุที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทร อันเป็นสัญลักษณ์ของระบบสุริยจักรวาลตามคติฮินดูนั่นหมายว่า ปราสาทหินที่กษัตริย์ขอมสร้างขึ้นก็คือศูนย์กลางของโลกและจักรวาลอันยิ่งใหญ่นั่นเอง


ขอขอบคุณ http://www.lib.ru.ac.th/
            
                 7. วัดพระธาตุหินขาว (ประเทศพม่า)

                                


      วัดพระหินขาวหรือที่มีชื่อเรียกอย่างทางการว่า “ Lawka Chantha AbayaLabamuni Buddha Image ” พระหินขาวนี้สร้างจากหินขาวที่มีลักษณะมันวาว สีขาวสะอาดและไม่มีตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา  ประดิษฐานอยู่ บริเวณด้านหลังพระพุทธรูปด้วย จากนั้นชมช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่าในบริเวณใกล้กัน 



ขอขอบคุณ http://www.lib.ru.ac.th/

                  6. เกาะบาหลี (ประเทศอินโดนีเซีย)


                     

       เกาะบาหลี (ประเทศอินโดนีเซีย) เกาะบาหลี ได้รับการขนานนามว่า “ อัญมณีแห่งมหาสมุทรอินเดีย ” อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะชวา บาหลีเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีความยาวจากหัวเกาะถึงท้ายเกาะประมาณ 150 กิโลเมตร อยู่ติดกับเกาะชวา มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน บาหลีได้ฉายาว่าเกาะมรกตเพราะมีต้นไม้เขียวขจีไปทั้งเกาะ เนื่องจากได้รับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมไว้ดีเยี่ยมมีกฏหมายไม่ให้ปลูกสิ่งก่อสร้างที่เป็นสิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติ โดยอาคารที่สร้างจะสูงกว่า 15 เมตรไม่ได้ บาหลีเป็นตัวอย่างของแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการดูแลรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด ธรรมชาติที่บริสุทธิ์เป็นเสน่ห์ของบาหลี ที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากไปชมกัน ความหลากหลายและมนต์เสน่ห์ของเกาะบาหลี ถูกขนานนามมากมายว่าเป็น เกาะแห่งพระเจ้าบ้าง เป็นจุดรุ่งอรุณของโลกบ้าง ทั้งหมดนี้ เกิดจากความประทับใจของผู้ที่เคยไปเยือน 


ขอขอบคุณ  http://www.lib.ru.ac.th/
                     
                       5. มัสยิดทองคำ (ประเทศบรูไน)
                   
                                 มัสยิดทองคำ ที่มา : http://www.skadiatravel.com/upload/images/Image/Home/Picture/1.jpg


       มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque มัสยิดที่สง่างาม และศักดิ์สิทธิ์ของชาวบรูไน ที่ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาล โดยมีการนำเข้าวัสดุการก่อสร้างและตกแต่งจากทั่วทุกมุมโลกใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 7 ปี มีห้องสวดมนต์ 2 ห้องแยกชายและหญิงบันไดทางขึ้นแต่ละชั้นจะมี 29 ขั้น ห้องละหมาดด้านบนตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยพรมสีเหลืองทองดูสว่างไสว จากนั้นนำท่านชมมัสยิด โอมาร์ อาลี ไซฟูดติน มัสยิดเก่าแก่อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบรูไนตั้งอยู่ใจกลางกรุงบันดาร์ เสรีเบกาวัน 


ขอขอบคุณhttp://www.lib.ru.ac.th/
   4. ป้อมซานติเอโก Fort Santiago (ประเทศฟิลิปปินส์)

                            


      ป้อมแห่งนี้ เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยงามดึงดูดสายตามากที่สุดจากยุคอาณานิคมของสเปนป้อมปราการขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1571ป้อมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษมานานนับปีและยังเป็นที่กักขังวีรบุรุษแห่งชาติอย่างของ ฟิริปปินส์ โฮเซ่ ไรซาล และยังเป็นที่กักขังเหล่านักรบเสรีภาพ ในช่วงเวลาการทำสงคราม ระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่นเมื่อสมัยที่โปรตุเกสยังยึดครองเมืองมะละกา ป้อมปราการแห่งนี้ถูกใช้งานเป็นเสมือนด่านป้องกันเมืองมะละกา จากการบุกรุกของศัตรู โดยปกติป้อมนี้จะมีกำแพงยาวล้อมรอบเนินเขาเล็ก ๆ ชื่อว่าเนินเขามะละกา ซึ่งป้อมปราการแห่งนี้ได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีมาเป็นเวลานานกว่า 150 ปี จนกระทั่ง ฮอลันดา ได้ยกทัพมาบุกรุกและสามารถยึดครองเมืองมะละกา ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2184หลังจากที่ได้ทำการล้อมเมืองนี้อยู่นานถึง 5 เดือน และหลังจากที่ได้ทำการยึดเมืองมะละกามาจากชาวโปรตุเกสได้เรียบร้อยแล้ว พวกฮอลันดาก็ได้ทำการซ่อมแซมกำแพง และ ป้อมปราการแห่งนี้ให้กลับอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ จนกระทั่งในภายหลังเมืองมะละกาได้ถูกครอบครองโดยอังกฤษ ผู้ปกครองเกาะปีนังได้ส่งกัปตันวิลเลียม ฟาร์คูฮาร์ มาทำลายป้อมปราการแห่งนี้ เพื่อป้องกันการอ้างสิทธิ์ครอบครองดินแดนของ ฮอลันดา แต่ป้อมปราการแห่งนี้ไม่ได้ถูกทำลายไปทั้งหมด ทำให้ซากแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองมะละกายังคงอยู่

ขอขอบคุณhttp://www.lib.ru.ac.th/